เคาท์ดาวน์ ปีใหม่ที่ไหนดี? ลอง 5 ลิสต์เที่ยวไทย ก็เก๋ได้ไม่แพ้ใคร

เคาท์ดาวน์_IndiGlow

เคาท์ดาวน์ ทั้งทีจะมัวจับเจ่าอยู่ติดบ้านชีวิตคงจะเฉาขาดสีสันน่าดู ปีใหม่ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อะไรที่ไม่ดีก็เตรียมแพ็คลงกล่องทิ้งได้เลยแล้วมองหาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต ใครยังไม่มีแพลนหรือไม่รู้จะเริ่มต้นปี 2019 ยังไง ขอแนะนำให้แพ็คกระเป๋าใบใหญ่ออกไปทำความรู้จักสถานที่ใหม่ๆ ตามรอย 5 ลิสต์เที่ยวไทยแบบเก๋ๆ ชาร์ตแบตให้หนำใจก่อนกลับมาลุยงานหลังปีใหม่แบบสตรอง!

 

1. สวดมนต์ข้ามปีที่สุโขทัย ตามรอยแหล่งมรดกโลก

คุณรู้จักจังหวัดที่อยู่นอกสายตานี้ดีแค่ไหน นอกจากก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย? ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรแต่นาทีนี้ “สุโขทัย” เป็นหมุดหมายแห่งใหม่ที่สายบุญต้องไม่พลาด เคลมไว้ตรงนี้เลยว่าเป็น Dream Destinations ที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตนี้ เพราะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวของคนเมืองเก่า ถือเป็นเมืองรุ่งอรุณแห่งความสุขอย่างแท้จริง แต่จะเที่ยวเมืองเก่าแบบชิคๆ ได้แค่ไหน คำตอบรออยู่บรรทัดถัดไปแล้ว

 

เริ่มจากลดโลกร้อนปลอดคาร์บอนด้วยการขี่จักรยาน (หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็นั่งรถราง) เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สัมผัสอารยธรรมโบราณสถานที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ตลอดเส้นทาง เตรียมกล้องให้พร้อมเพราะคอนเฟิร์มมาแล้วว่าแต่ละแห่งนั้นงดงามตระการตามากๆ ไฮต์ไลท์สำคัญคือวัดศรีชุม อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของไทยที่มี “พระอจนะ” พระพุทธรูปขนาดใหญ่เท่าตัววิหารประดิษฐานอยู่ในมณฑป ซึ่งมีชื่อเสียงมากเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์เสน่ห์ โดยมีความเชื่อเรื่องการเป็นจุดลอยประทีปที่ปฏิบัติติดต่อกันมานาน และวัดพระพายหลวง ที่มีอุโมงค์เชื่อมต่อเป็นช่องลึกเข้าไปในผนัง เพดานปรากฏลายเส้นสมัยอาณาจักรสุโขทัย และวัดมหาธาตุที่บรรจุเจดีย์กว่า 209 องค์ แกนกลางบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ก่อนกลับแวะสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง ลั่นระฆังแล้วขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล เทให้หมดใจ 1 วันแบบอิ่มบุญกันไปเลย

 

จุดหมายต่อไปคืออุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย หัวเมืองชั้นนอกที่ถูกยกย่องและขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ที่นี่มีวัดที่น่าสนใจหลายแห่งทีเดียว อาทิ วัดเจดีย์เจ็ดแถวที่สวยงามตามชื่อ วัดนางพญาที่ว่ากันว่าเป็นวัดที่สตรีสร้างขึ้นหากผู้หญิงขอพรจะสมหวัง และอย่าลืมนับด้วยว่าที่วัดช้างล้อมมีช้างกี่เชือกกัน!

 

ต่อกันที่ชีวิตติดดินแบบสโลว์ไลฟ์สุดๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชุมชนโบราณอายุกว่า 200 ปี ชาวชุมชนมีวิถีความเป็นอยู่เรียบง่าย พอเพียง ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรรม และหัตถกรรมการทอผ้าเป็นสำคัญ อัตลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้บ้านนาต้นจั่นเป็นที่รู้จักคือภูมิปัญญาการทำผ้าหมักโคลน ใครชอบงานแฮนด์เมดก็แวะเข้าไปเรียนรู้และทดลองทำด้วยตัวเองได้เลย

 

นอกจากนี้ยังมีจุดเช็คอินใหม่อย่างเกาะรูปหัวใจ ทุ่งทะเลหลวง หรือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเกาะรูปหัวใจกลางน้ำ มีถนนตัดผ่านจากบนบกเข้าสู่กลางเกาะ อีกหนึ่งที่เที่ยวบรรยากาศสุดโรแมนติคในสุโขทัย เป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและบริหารจัดการน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนาอีกด้วย แถมให้อีกนิดว่าพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลย ขากลับอย่าลืมอุดหนุนเครื่องเงินโบราณงานฝีมือสุดประณีต ของดีที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามจากรากเหง้าของชาวสุโขทัยที่ทำด้วยหัวใจ

 

แม้ที่เที่ยวในสุโขทัยอาจจะไม่หวือหวา แต่คอนเฟิร์มเลยว่าเต็มไปด้วยความสุขคำโตจริงๆ

 

 

2. เที่ยวเขาค้อไม่ต้องง้อใคร #เพชรบูรณ์

ไม่ใช่แค่อุณหภูมิที่ดีงามเหมาะกับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่เคาท์ดาวน์ทั้งทีบอกได้เลยว่าไม่น่าพลาด เริ่มออกสตาร์ทกันที่หัวใจของคนเพชรบูรณ์อย่าง “ภูทับเบิก” ที่ขึ้นชื่อว่า “ชมหมอกหนาว ดาวบนดิน” เพราะจุดเด่นคือธรรมชาติที่สวยงาม ทะเลหมอกปุยเมฆขาวๆ เหมือนลอยอยู่บนสวรรค์ และนอนดูดาวได้ใกล้ๆ เหมือนเอื้อมมือคว้าได้ในตอนกลางคืน นอกจากไร่กะหล่ำปลีสวยงามที่รู้ๆ กัน หน้าหนาวดอกพญาเสือโคร่งยังแข่งกันบานสะพรั่งเต็มภู

 

แลนด์มาร์คต่อไปคือเขาค้อ – อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่รายล้อมด้วยทะเลหมอกอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 18 – 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น และธรรมชาติที่สวยงามอย่างอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย ไม่ไกลกันคือศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ หรือชื่อเดิมสถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ เป็นหนึ่งในสถานีทดลองเกษตรที่สูงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจนได้รับการขนานนามให้เป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย” เต็มไปด้วยแปลงผัก ผลไม้ ดอกไม้เมืองหนาว สมุนไพร พร้อมทั้งป่าธรรมชาติที่เต็มไปด้วยต้นค้อ สัญลักษณ์ของอำเภอเขาค้ออีกด้วย

 

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว คือจุดหมายต่อมา นอกจากเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและสวยงามแล้ว ยังดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาเคารพสักการะพระพุทธรูปหยกขาว 5 องค์ซ้อนกัน ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ การประดับตกแต่งด้วยเศษแก้วเศษกระเบื้องที่วิจิตรงดงาม ว่ากันว่าที่ใต้ฐานเจดีย์บรรจุหลักธรรมคำสอนต่างๆ มากมาย

 

ความอลังการถัดมาคือ ‘ทุ่งกังหันลม’ เป็นจุดที่ผลิตพลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีกังหันลมจำนวน 24 ต้น ซึ่งมีความสูงกว่า 100 เมตร ตั้งเด่นตระหง่านบนยอดเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,050 เมตร วิวสวยๆ อย่างนี้ไม่หยิบกล้องขึ้นมาก็ให้มันรู้ไป! ขากลับอย่าลืมแวะไร่กำนันจุล เป็นทั้งจุดแวะซื้อของฝากและสถานที่เรียนรู้วิถีเกษตรพอเพียงในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เป็นมิตร ทั้งการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ชมบ่อปลา ชมสวนผลไม้ไร้สารพิษเรียกได้ว่าแค่มาที่เดียวก็คุ้มสุดๆ

 

 

3. เมืองน่ารักมากเสน่ห์ ต้นกำเนิดผ้าย้อมครามที่สกลนคร

“สกลนคร” ชื่อนี้ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้หลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เคาท์ดาวน์ปีใหม่นี้ถ้าไม่ไปคงเสียดายแย่ ขอเริ่มกันที่การสักการะพระธาตุเชิงชุม ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสกลนคร องค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อครอบรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ และยังเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อพระองค์แสน พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสน รวมถึงมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างเมืองมนุษย์กับเมืองพญานาคที่จมอยู่ใต้หนองหาร คนสกลมีความเชื่อว่าหากมาสักการะพระธาตุเชิงชุม จะช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง

 

และไฮต์ไลท์เด็ดที่เหมาะกับสาวๆ มากๆ คือทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ถนนหน้าวัดพระธาตุเชิงชุมตลอดทั้งสายจะกลายเป็นถนนของคนรักคราม อีกหนึ่งงานคราฟท์เก๋ๆ ที่สร้างชื่อให้สกลนครคือเสน่ห์ของผ้าย้อมครามอันเลื่องลือที่กำลังอินเทรนด์แบบแรงไม่ตก เหมือนเป็นจุดนัดพบผ้าย้อมครามดีไซน์เก๋คุณภาพดีจากผู้ผลิตตัวจริงเสียงจริง ที่นำมาจำหน่ายถึงมือคนรักครามในราคาย่อมเยาว์ ขนาดไม่ได้เป็นสาวกผ้าย้อมครามยังหัวใจเต้นแรงเลย!

 

วัดถ้ำผาแด่น คือดินแดนหินเทพแห่งอีสานที่สายบุญไม่ควรพลาด สวยงามด้วยงานประติมากรรมแกะสลักหินทรายอลังการ ด้วยความที่ตัววัดตั้งอยู่บนภูเขาสูงจึงกลายเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นตัวเมืองสกลนครและหนองหารได้อย่างเต็มตา และวัดป่าสุทธาวาส ที่บรรจุพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระเกจิชื่อดังที่เคยเดินทางมาวิปัสสนากรรมฐานและจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ โดยภายในจัดแสดงรูปหล่อเหมือนจริงให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มากราบสักการะขอพร

 

อีกสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดสกลนครคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นอกจากหมายถึงพระตำหนักภูพาน ที่ประทับแรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อทรงมาเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ภาคอีสาน ตกแต่งเรียบง่ายและใกล้ชิดธรรมชาติ ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเรียนรู้วิถีพอเพียงตามพระราชดำริของพระองค์ฯ ที่เป็นทั้งศูนย์เรียนรู้และทดลองด้านการเกษตรเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่

 

ปิดท้ายกันที่หมู่บ้านทำเกลือ อ.วานรนิวาส เอาใจคนที่ชอบเข้าครัวได้มาเรียนรู้การทำเกลือแบบโบราณจากใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานอย่างใกล้ชิด ขากลับอย่าลืมแวะเช็คอินและชมดอกบัวหลากสายพันธุ์ที่ อุทยานบัวเฉลิมพระเกียรติ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึงสกลนคร!

 

 

4. สายใยยอยักษ์ที่ผูกพันจากรุ่นสู่รุ่นของชาวพัทลุง

ถ้ามีเวลามากหน่อย (แบบขอลาพักร้อนได้) อยากหนีรถติด หนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ไปพักสมองและพักผ่อนกันแบบจริงๆ จังๆ ขอให้วางแพลนเคาท์ดาวน์ลงใต้ไปบุกรังชาวประมง นอนโฮมสเตย์ที่มีวิวอลังการแบบพานอรามาอย่างยอยักษ์ ภูมิปัญญาการหาปลาด้วยการยกยอแบบโบราณ ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของพี่น้องประมงชาวพัทลุง สวยแค่ไหนตั้งกล้องรอก่อนพระอาทิตย์ตกได้เลย

 

หายเหนื่อยแล้วรุ่งเช้ามาล่องเรือชม “ทะเลบัวแดง” เพราะดอกบัวจะออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่งเต็มท้องน้ำ ยังไม่หนำใจพอแนะนำให้ไปเก็บวิวสายตาต่อที่แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดพัทลุงอย่าง นาโปแก ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนเชิงอนุรักษ์ มีแหล่งเรียนรู้การทำนา ปลูกข้าว มีโซนสาธิตการทำข้าวซ้อมมือโบราณ มีมุมถ่ายภาพกับท้องนาสวยๆ และเปิดให้เข้าไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่เรียบง่ายของชาวพัทลุงอย่างใกล้ชิด

 

ปิดจ๊อบสายชิลล์ก็มาถึงสายแข็งอย่าง เขาอกทะลุ สัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง จุดเด่นของเขาลูกนี้คือบริเวณปลายยอดเขาจะมีโพรงถ้ำทะลุออกไปอีกด้านหนึ่งจนเห็นท้องนาเขียวขจี เป็นที่มาของชื่อเขาอกทะลุนั่นเอง ถ่ายรูปเพลินๆ ก็อย่าลืมแวะมาจิบกาแฟหอมกรุ่นที่โรงคั่วบ้านป่า ที่พิเศษยิ่งกว่าคือการได้ลงมือคั่วเมล็ดกาแฟแบบ D.I.Y ด้วยตัวเองแบบสโลว์ไลฟ์ โชว์ฝีมือกันไปเลยว่าใครเป็นคอกาแฟตัวจริง รับรองว่ามากกว่ารสชาติที่คาดเดาไม่ได้คือความรู้สึกภูมิใจที่ได้คั่วเอง

 

ปิดทริปลงใต้กันที่ตลาดป่าไผ่ ที่มีสโลแกนว่าตลาดชุมชนลดสิ่งแวดล้อม มีของขายมากมายโดยเฉพาะใครอยากชิมอาหารถิ่นแบบดั้งเดิมทั้งคาวหวานและของฝาก แถมเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีพื้นบ้าน และการแสดงมโนราห์ที่หาดูได้ยากให้ชมกันสดๆ เฉพาะวันเสาร์เท่านั้น… ไม่น่าเชื่อเลยว่า พัทลุงจังหวัดเดียวจะมีที่เที่ยวครบทุกแนวขนาดนี้

 

 

5. เยือนหมู่บ้านคนกล้า ชิมสารพัดเมนูปลาของดีเมืองสิงห์บุรี

อีกหนึ่งสถานที่เคาท์ดาวน์ที่อยู่ชิดติดกรุงเทพฯ แบบขับรถแค่ 2 ชั่งโมงก็ถึง เหมาะกับคนที่ไม่อยากไปไหนไกล เบื่อรถติด อยากเซฟเวลาวันหยุดให้นานที่สุด ถ้านึกถึงจังหวัดเล็กๆ อย่างสิงห์บุรีนอกจากสารพัดเมนูปลาที่ขึ้นชื่อแล้ว สิ่งแรกที่เข้าใจตรงกันคือความสามัคคีอันน่าทึ่งในตำนานของชาวบ้านบางระจัน ที่ได้สร้างวีรกรรมจนได้จารึกลงในประวัติศาสตร์ในตอนปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยา

 

วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนสิงห์บุรี ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของพระนอนวัดจักรสีห์ ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด คนจึงนิยมมาไหว้ขอพรที่วัดแห่งนี้เป็นอันดับแรกๆ ในพื้นที่เดียวกันปีกขวาคือโซนตลาดต้องชม ตลาดเก่าแก่ที่เปิดมานานสิบกว่าปี เรียงรายรอให้เลือกซื้อมากมายด้วยข้าวของโอท็อปพื้นเมืองฝีมือชาวบ้าน หรือสายกินก็ต้องยกให้น้ำพริกปลาร้าที่ขึ้นชื่อ

 

ถัดมาคือวัดโพธิ์เก้าต้น หรือ วัดไม้แดง เพราะมีที่มาจากต้นไม้แดงที่มีอยู่ในบริเวณวัดจำนวนมาก โดยบางต้นมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี มีบทบาทสำคัญต่อจิตใจของชาวสิงห์บุรีมาก เนื่องจากเคยเป็นฐานที่มั่นของชาวบ้านระจัน ไม่ไกลจากวัดจะเจอจุดเช็คอินสุดฮอต ตลาดย้อนยุคบ้านบางระจัน ตลาดโบราณที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง เต็มไปด้วยของกินเด็ดๆ ที่หายาก กิมมิคคือพ่อค้าแม่ค้าทุกคนพร้อมใจกันใส่ชุดย้อนยุค เหมือนหลุดออกมาจากสมัยอยุธยาเลยทีเดียว

 

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวัดสำคัญคือวัดพิกุลทอง หรือ วัดหลวงพ่อแพ ที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และปิดท้ายกันที่เรื่องราวของโบราณวัตถุ เตาเผาแม่น้ำน้อย สถานที่เก่าแก่ที่มีเตาเผาขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยอิฐ มีที่ระบายความร้อนเฉียงขึ้น นอกจากจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ยังเป็นศูนย์ศึกษาทางวิชาการเซรามิกที่ยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย ตัดสินใจได้ไม่ยากเลยใช่ไหมสำหรับสิงห์บุรี เมืองเล็กพริกขี้หนูที่รอให้คุณแพ็คกระเป๋ามาเคาท์ดาวน์แบบ One day trip ได้เลย

 

แต่ก่อนออกเดินทางสาวๆ ที่รักตัวเองอย่าลืมพกพาเพื่อนสนิทที่ช่วยกู้ชีวิตจากแดดแรงๆ หน้าหนาวไปด้วย IndiGlow® Seductive White Rejuvenating Moisturizer ในรูปแบบ All in one มอยเจอร์ไรเซอร์ที่รวมทุกการบำรุงไว้ในหนึ่งเดียว อุดมด้วยสารสกัดจากเห็ดสีฟ้า และสารสกัดอันทรงคุณค่าจากธรรมชาติอีก 5 ชนิด โดยเฉพาะสาร Naringin จากส้มโอทับทิมสยาม ที่คงไว้ซึ่งการออกฤทธิ์ antioxidants แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส ให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย

ล็อคความกระจ่างใส พร้อมปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ด้วยค่า SPF 30 PA++++ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อครีมละเอียด เกลี่ยง่าย ซึมเร็ว อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่าย ปราศจาก Paraben และแอลกอฮอล์

 

 

ล็อคความกระจ่างใส อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว พร้อมปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ด้วยค่า SPF 30 PA++++ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื้อครีมละเอียด เกลี่ยง่าย ซึมเร็ว อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่าย ปราศจาก Paraben และแอลกอฮอล์


Related Posts

Leave a comment